
การปูพื้นไม้เป็นหนึ่งในวิธีแต่งบ้านที่ช่วยยกระดับบรรยากาศได้ชัดเจน ทั้งเรื่องความอบอุ่น ความสวยงามของลายไม้ และความรู้สึกสบายเท้าเวลาพักอาศัย แต่ในปัจจุบันพื้นไม้มีให้เลือกหลายประเภท จนหลายคนอาจลังเลว่าควรเลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับบ้านและการใช้งานจริง หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ “พื้นไม้เอ็นจิเนียร์” หรือ “Engineered Wood” ซึ่งเป็นพื้นไม้ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้เสน่ห์ของไม้จริง พร้อมแก้ข้อจำกัดบางอย่างของพื้นไม้ธรรมชาติ
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร (Engineered Wood)

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood) คือ พื้นไม้ที่ออกแบบโครงสร้างด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม เพื่อให้สวยเหมือนไม้จริง แต่ใช้งานได้เสถียรกว่าไม้จริงทั้งแผ่น คนไทยเลยเรียกติดปากว่า พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เพราะเป็นไม้ที่ผ่านการผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมและประกอบเป็นชั้น ๆ ไม่ได้เป็นไม้ท่อนเดียวเหมือนไม้จริง
จุดเด่นของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์อยู่ที่โครงสร้างแบบหลายชั้น ซึ่งช่วยลดปัญหาไม้โก่ง บวม หรือหดตัวจากความชื้นและอุณหภูมิได้ดีขึ้น โดยทั่วไปประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
- ชั้นผิวหน้า (Top Wear Layer / Veneer) เป็นไม้จริงแท้ 100% ทำหน้าที่ให้ลวดลาย สี และผิวสัมผัสธรรมชาติ ดังนั้นเวลามองหรือเดินจะได้ฟีลเหมือนไม้จริง ไม่ใช่ลายพิมพ์แบบลามิเนต
- ชั้นโครงสร้าง (Base Layer) เป็นหัวใจด้านความแข็งแรงและความนิ่งของพื้น มักทำจากไม้อัดหลายชั้น (Plywood) หรือ HDF แล้ววางสลับทิศทางเสี้ยนไม้ เพื่อให้แผ่นไม้คงรูป ลดการบิดงอเมื่อเจอความชื้น เพิ่มเสถียรภาพ และเสริมความแข็งแรงให้ทั้งแผ่น
แม้ผิวหน้าจะเป็นไม้จริงเหมือนกัน แต่คุณภาพพื้นจะต่างกันชัดที่ชั้นแกนและวิธีการอัดชั้น เพราะสองอย่างนี้เป็นตัวกำหนดความทนชื้น ความนิ่ง และอายุการใช้งาน
- แกนที่แน่นและอัดชั้นดีจะนิ่ง เดินแล้วไม่ยวบ โอกาสโก่งหรือแยกน้อย
- แกนคุณภาพรองลงมา อาจดูสวยตอนแรก แต่ระยะยาวเสี่ยงบวม/บิด โดยเฉพาะบ้านที่เจอความชื้นบ่อย
ที่ Champaca เราเลือกใช้ Birch Plywood ซึ่งเป็นไม้อัดคุณภาพสูง โครงสร้างแน่น เสถียร และรับแรงได้ดี ถือเป็นเกรดท็อปในตลาดพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ และในรุ่นที่ใช้ Marine Grade Plywood จะยิ่งเด่นเรื่องทนความชื้น เหมาะกับสภาพอากาศแบบประเทศไทยที่ชื้นและอุณหภูมิเปลี่ยนตลอดปี
ดูภาพพื้นไม้แบบต่าง ๆ: 7 วิธีปูพื้นไม้สวย ๆ มีสไตล์ ช่วยเพิ่มมิติและความลงตัวให้กับบ้านของคุณ
ข้อดีของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Birt plywood)
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ที่ใช้แกน Birch Plywood ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่บาลานซ์ระหว่างความสวยงาม ความทนทาน และความคุ้มค่าได้ดี เหมาะกับทั้งบ้านพักอาศัยและงานตกแต่งระดับพรีเมียม จุดเด่นหลัก ๆ มีดังนี้
- ติดตั้งง่าย
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์โครงสร้าง Birch Plywood เป็นพื้นไม้แบบ Pre-Finished ที่ผ่านการทำสี เคลือบผิว และควบคุมคุณภาพมาจากโรงงานเรียบร้อย ติดตั้งแบบระบบ Tongue and Groove joint (ลิ้นและร่อง) ช่วยให้ช่างติดตั้งได้รวดเร็ว เรียบเนียน รวมถึงช่วยลดฝุ่น กลิ่นสี และเวลาหน้างาน เหมาะกับบ้านที่ยังอาศัยอยู่และไม่ต้องการให้หน้างานยุ่งยากเกินไป
- ลวดลายสวยงาม
เพราะผิวหน้าของพื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นไม้จริง ทำจากวัสดุไม้แดง ไม้สัก ไม้โอ๊ค หรือไม้วอลนัท และใช้โครงสร้าง Birch Plywood ที่มีโครงสร้างแน่น รับแรงได้ดี ทำให้ลายไม้ชัด ดูเป็นธรรมชาติ เวลาเดินให้สัมผัสที่มั่นคง ไม่ยวบง่าย ให้บรรยากาศใกล้เคียงพื้นไม้จริงทั้งแผ่น แต่มีโครงสร้างที่มั่นคงกว่า
- ทนทาน และมีโอกาสโก่งตัวได้น้อย
โครงสร้างแบบหลายชั้นของ Birch Plywood วางสลับเสี้ยนไม้ ช่วยให้แผ่นพื้น ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นได้ดี ลดโอกาสบวม โก่ง หรือแอ่นตัวเมื่อใช้งานไปนาน ๆ จึงเหมาะกับสภาพอากาศแบบร้อนชื้นที่เจอในบ้านเรา
- ราคาที่เข้าถึงได้ และยังได้คุณสมบัติของไม้จริง
แม้จะใช้ไม้จริงเป็นผิวหน้าและใช้ไม้อัดเกรดดีอย่าง Birch Plywood เป็นแกนกลาง แต่พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ก็ยังมีราคาย่อมเยากว่าไม้จริงทั้งแผ่น เจ้าของบ้านจึงยังได้ผิวสัมผัสและภาพรวมของพื้นไม้จริง ในงบประมาณที่ควบคุมได้ง่ายกว่า ถือเป็นตัวเลือกที่ลงตัวทั้งในแง่ภาพลักษณ์ การใช้งาน และงบประมาณก่อนตัดสินใจปูพื้นไม้ในบ้าน
ข้อควรระวังก่อนติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

แม้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะให้บรรยากาศและสัมผัสใกล้เคียงไม้จริง แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องรอยขีดข่วนและการซ่อมแซมในอนาคต
เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย ไม่สามารถแก้ไขให้เหมือนใหม่ได้
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีผิวหน้าที่เป็นไม้จริง แต่ชั้นหน้า (Top Wear Layer) มักมีความหนาถึง 3 มม. หากเกิดรอยขีดข่วนจากการลากของหนัก ของตกหล่น หรือใช้งานไม่ระมัดระวัง ถึงแม้สามารถทำความสะอาดหรือเก็บรายละเอียดได้ แต่หากเป็นรอยลึกหรือรอยชัด ๆ สามารถขัดทำสีใหม่ทั้งแผ่นได้เหมือนไม้จริงทั้งท่อน
ในกรณีที่มีรอยเสียหายเห็นชัดเจน สามารถซ่อมแบบเปลี่ยนไม้เป็นแผ่น ๆเฉพาะบริเวณที่เกิดรอย และการขัดพื้นทั้งห้องใหม่ ดังนั้น อย่างไรก็ตาม พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เหมาะกับการใช้งานที่ใส่ใจและระมัดระวังพอสมควร
ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำ เพื่อป้องกันกันบวม
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์แม้จะนิ่งกว่าไม้จริงทั้งแผ่น แต่ก็ยังเป็นไม้และมีโอกาสบวมจากความชื้นได้(หากน้ำหก ท่วมขังปริมาณมาก) หากใช้ในพื้นที่ที่มีโอกาสโดนน้ำบ่อย(ให้รีบเช็ดให้แห้ง) หรือมีความชื้นสูง เช่น บริเวณหน้าห้องน้ำ พื้นใกล้ส่วนซักล้าง หรือพื้นที่ที่อากาศอับ ไม่ถ่ายเท สิ่งที่ตามมาคือไม้มีโอกาสบวม โก่งตัว และเสี่ยงเกิดเชื้อราใต้พื้น
โดยปกติก่อนติดตั้งจึงควร
- ตรวจเช็กความชื้นของพื้นที่และโครงสร้างใต้พื้นให้เรียบร้อย(หากติดตั้งบนคอนกรีตโดยตรง ความชื้นคอนกรีตต้องไม่เกิน 4 %)
- หลีกเลี่ยงการใช้ในโซนที่มีโอกาสโดนน้ำตรง ๆ เป็นประจำ
- ถ้าเกิดน้ำหก ต้องรีบเช็ดและทำให้แห้งโดยเร็ว
การเตรียมสภาพพื้นที่ให้พร้อมและควบคุมความชื้นตั้งแต่ต้น จะช่วยลดปัญหาไม้บวมและการต้องรื้อซ่อมในอนาคตได้มาก
ดูแลพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ได้อย่างมั่นใจ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
การดูแลพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ให้สวยนาน ไม่ได้ยุ่งยาก แค่ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ ให้ถูกวิธี ก็ช่วยยืดอายุการใช้งานและลดโอกาสต้องซ่อมใหญ่ในอนาคตได้มาก โดยมีวิธีการดูแลดังนี้
- กวาดหรือดูดฝุ่นเป็นประจำ
ฝุ่น ทราย และเศษผงเล็ก ๆ สามารถทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนผิวหน้าได้ง่าย ควรกวาดหรือดูดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ไม้กวาดขนนุ่มหรือเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับพื้นไม้
- เช็ดด้วยผ้าหมาด ไม่ปล่อยให้น้ำขัง
ทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดแทนการใช้ผ้าเปียกหรือราดน้ำบนพื้น หลีกเลี่ยงการปล่อยให้น้ำขังหรือมีแอ่งน้ำบนพื้น เพราะความชื้นสามารถสะสมและทำให้ไม้บวม หรือผิวหน้าเสียรูปได้
- ใช้แผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์
แนะนำให้ติดแผ่นรองที่ขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ โซฟา และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ลดแรงกดและการเสียดสีโดยตรงกับผิวหน้าไม้ ช่วยลดโอกาสเกิดรอยกดและรอยลากบนพื้น
- ทาน้ำยาบำรุงพื้นทุก 1-2 ปี
การบำรุงผิวหน้าจะช่วยให้พื้นดูชุ่มสวยและปกป้องไม้ในระยะยาว
- หากพื้นเป็นระบบเคลือบฟิล์ม (เช่น UV Coating) ใช้น้ำยาทำความสะอาดและบำรุงที่เหมาะกับพื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นครั้งคราว ไม่จำเป็นต้องลงถี่(เป็น Coating ที่จัมปาก้าเลือกใช้เป็นหลัก)
- หากพื้นเป็น ผิว Oil (Oil Coating) ควรลงน้ำมันบำรุงพื้นใหม่ทุกประมาณ 6-12 เดือน ตามการใช้งาน เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้เนื้อไม้และคงสภาพผิวให้สวยอยู่เสมอ
เมื่อดูแลตามวิธีเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ทั้งสวย เรียบเนียน และมั่นใจได้ในอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อ่านวิธีดูแลไม้เพิ่มเติม: 5 วิธีทำความสะอาดพื้นไม้จริง ให้บ้านสวยและยืดอายุไม้ไปนาน ๆ

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เหมาะกับการใช้งานในที่ไหนบ้าง
อย่างที่เราทราบกันว่า พื้นไม้เอ็นจิเนียร์มีคุณสมบัติที่ให้ทั้งความสวยงามแบบไม้จริงและความเสถียรที่มากกว่าไม้แท้ทั้งแผ่น ทำให้ใช้งานได้หลากหลายและเหมาะกับพื้นที่พักอาศัยยุคปัจจุบัน แต่ก็มีบางโซนที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะเสี่ยงความชื้นสูงเกินไป
- เหมาะสำหรับ: ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน, คอนโด, โฮมออฟฟิศ, บ้าน, โรงแรม, ร้านค้าหน้าร้าน
- ไม่เหมาะสำหรับ: พื้นที่ที่มีความชื้นสูงมาก เช่น ห้องน้ำ หรือห้องซักล้าง
เพราะพื้นที่เหล่านี้มีโอกาสโดนน้ำโดยตรงและความชื้นสะสมตลอดวัน ทำให้ผิวหน้าไม้มีโอกาส บวม โก่ง หรือเกิดเชื้อราได้
เตรียมพื้นให้พร้อมก่อนติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์
การเตรียมพื้นให้ถูกต้องคือขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ติดตั้งได้แน่น นิ่ง และใช้งานได้ยาวนานโดยไม่เกิดปัญหาบวม โก่ง หรือยวบในอนาคต ก่อนเริ่มติดตั้งควรตรวจเช็กตามรายการต่อไปนี้
- ตรวจความชื้นพื้นคอนกรีต
ความชื้นคอนกรีตต้องไม่เกิน 4% MC เพื่อป้องกันปัญหาไม้บวมและเชื้อราภายหลังติดตั้ง
- ตรวจความเรียบของพื้น
พื้นต้องไม่ต่างระดับเกิน 3 มม. ต่อระยะ 3 เมตร เพื่อให้การปูแผ่นไม้แนบสนิท ไม่เกิดการกระดกหรือยวบ(หากเกินต้องปรับระดับพื้นใหม่)
- ทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อย
ต้องกำจัดเศษปูน ฝุ่น ผง ทราย และคราบน้ำมัน ออกให้หมด เพื่อให้กาวหรือแผ่นรองแนบสนิทกับพื้นจริง
- ตรวจความแข็งแรงของพื้นคอนกรีต
ควรมีค่าความแข็งแรงอย่างน้อย 18 KSC แสดงถึงความแน่นหนาของโครงสร้าง ไม่แตก ไม่ร่อน ไม่ยุบตัว
- พื้นต้องผ่านการป้องกันปลวกแล้ว
ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยเฉพาะบ้านพักอาศัย เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นใต้พื้นในระยะยาว
- เก็บงานปรับระดับด้วย Self-Leveling หากพบพื้นลอน
หากพื้นที่มีความต่างระดับหรือเป็นคลื่น ควรเก็บงานปรับระดับให้เรียบก่อน เพื่อให้แผ่นพื้นวางได้เสมอกันทุกจุด
- พักไม้ก่อนติดตั้ง 3-4 วัน
นำไม้ไปวางไว้ใกล้พื้นที่ที่จะติดตั้ง เพื่อให้ไม้ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศและความชื้นของห้อง ลดการขยายหรือหดตัวหลังติดตั้ง
ขั้นตอนการติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

ในการปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ต้องทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้พื้นแน่น เรียบ เสถียร และพร้อมใช้งานยาวนานไม่มีปัญหา ใช้ตามขั้นตอนมาตรฐานดังนี้
- ตรวจสอบพื้นหน้างานอีกครั้ง ตรวจความชื้น ความเรียบ และความแข็งแรงให้ตรงตามมาตรฐานก่อนเริ่มงาน
- นำไม้มา Dry-lay เพื่อจัดลายไม้ วางไม้บนพื้นก่อนติดตั้งจริง เพื่อกระจายโทนและลวดลายให้เป็นธรรมชาติ ไม่ให้เกิดลายที่ซ้ำหรือเป็นปื้น
- ปูแผ่นกันความชื้น / Underlay หรือทากาว เลือกวิธีติดตั้งตามระบบของสินค้า เช่น ปูแผ่นกันความชื้น / Underlay สำหรับงานลอยตัว หรือทากาวสำหรับงานติดแน่น
- ปูไม้โดยเว้นระยะขอบผนังประมาณ 10 มม. เพื่อเผื่อการขยายตัวของไม้ตามอุณหภูมิและความชื้น
- เคาะแผ่นให้สนิททุกแผ่น และเช็ดกาวส่วนเกินทันที เพื่อให้รอยต่อแนบสนิทและป้องกันคราบกาวติดผิวไม้
- วางน้ำหนัก (Sandbags ≈ 15 กก.) ทิ้งไว้ 24 ชม. ช่วยให้กาวเซ็ตตัวอย่างสมบูรณ์และพื้นนิ่งทุกจุด
- เก็บงานรอบขอบผนัง ติดบัว อุดรอยต่อ และทำความสะอาด ทำให้ขอบงานเรียบร้อยและพื้นพร้อมใช้งาน
- ปิดงานด้วยแผ่นป้องกันพื้น ใช้แผ่นป้องกันคลุมพื้นทั้งหมดเพื่อรอการตกแต่งงานอื่น ๆ ต่อไป ลดโอกาสเกิดรอยหรือความเสียหาย
เมื่อติดตั้งตามขั้นตอนครบถ้วน พื้นไม้เอ็นจิเนียร์จะมีความแน่น เรียบ และสวยงาม พร้อมรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
FAQ
พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ปูในพื้นที่เปียกได้ไหม?
ไม่ควรปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ในพื้นที่ที่เปียกโดยตรง เช่น ห้องน้ำ พื้นที่ซักล้าง หรือบริเวณที่มีโอกาสโดนน้ำแบบต่อเนื่อง เพราะความชื้นสามารถทำให้ไม้บวม โก่ง หรือเกิดเชื้อราใต้พื้นได้ แต่สามารถใช้ในพื้นที่ชื้นเล็กน้อย ได้ เช่น โถงทางเดิน หรือพื้นที่ที่ไม่ได้โดนน้ำโดยตรง โดยต้องมีการตรวจความชื้นพื้นคอนกรีตก่อนติดตั้ง ติดตั้งระบบกันชื้นใต้พื้นที่ครบถ้วน แบะคอยดูแลไม่ให้มีน้ำขังหรือรั่วซึม
อยู่คอนโด ปูพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ได้ไหม?
สามารถทำได้ทั้งแบบติดกาว (Glue-down) และแบบลอยตัว (Floating) แต่ต้องปฏิบัติตามกฎของอาคารเรื่องเสียง น้ำหนัก และโครงสร้างพื้น พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับคอนโด ทั้งสวย อบอุ่น และเพิ่มมูลค่าห้องได้ดี
ค่าแรงปูพื้นไม้เอ็มจิเนียร์ราคาเท่าไหร่?
ค่าแรงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น วิธีติดตั้ง สภาพพื้นหน้างาน (ความเรียบ ระดับความชื้น การปรับพื้น) และรายละเอียดอื่น ๆ เช่น การติดบัว ขอบ ผนัง รูปร่างห้องซับซ้อน ค่าแรงปูพื้นไม้เอ็มจิเนียร์จึงไม่มีราคาคงที่ แนะนำให้ประเมินหน้างานจริงแล้วขอใบเสนอราคาจากผู้รับเหมาหลายแห่งเพื่อเทียบก่อน
ดูพื้นไม้ประเภทอื่น: พื้นไม้ปาร์เก้ คืออะไร? แนะนำแบบและลายที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้บ้านของคุณ
ตกแต่งบ้านของคุณอย่างมีสไตล์ ด้วยพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จาก Champaca
โดยสรุปแล้ว พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เป็นตัวเลือกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความสวยแบบไม้จริงและความเสถียรแบบวัสดุสมัยใหม่ ผิวหน้าที่เป็นไม้จริงให้ลายและสัมผัสธรรมชาติ ส่วนโครงสร้างแบบหลายชั้นโดยเฉพาะโครงสร้าง Birch Plywood ช่วยให้พื้นนิ่ง ทนต่อการยืด-หด และใช้งานได้ยาวนานขึ้น เหมาะกับทั้งบ้าน คอนโด โฮมออฟฟิศ ไปจนถึงโรงแรมและร้านค้าที่ต้องการภาพลักษณ์อบอุ่นและพรีเมียม
ที่ Champaca เราเชื่อว่าความรู้ ความหลงใหล และนวัตกรรม คือรากฐานสำคัญของการออกแบบที่มีความหมาย เราจึงไม่ได้แค่จำหน่ายไม้เท่านั้น แต่ยังช่วยคุณสร้างสรรค์บ้านที่เล่าเรื่องราวเดียวกันทุกมุม ไม่ว่าจะเป็น พื้นไม้ ผนัง ฝ้าเพดาน หรือประตู ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษา คัดสรรไม้จากธรรมชาติที่ลงตัวที่สุด เพื่อให้ไม้โอ๊คทุกชิ้นในบ้านของคุณคงความสง่างามที่ไม่มีวันหมดอายุ
เติมเต็มบ้านของคุณด้วยพื้นไม้เอ็นจิเนียร์จาก Champaca พร้อมสร้างสรรค์บ้านของคุณให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย
- Website : https://www.champaca.com/
- LINE : @champacawood
- Facebook : Champacawood | Bangkok
- E-mail : sales@champaca.com
- Tel : 092-259-5333


